8 เทคนิคหาที่ฝึกงาน ให้โดนใจเด็กฝึกงาน

สวัสดีครับ สำหรับนักศึกษาที่กำลังหาที่ฝึกงานอยู่ และมีคำถามในใจว่า "ฝึกงานที่ไหนดี?" หรือ "หาที่ฝึกงานที่ไหนดี?" ในวันนี้ทีมงานเบสต์จ๊อบ ก็มีเทคนิคดีๆมานำเสนอกันเช่นเคย โดยในส่วนของบทความนี้ก็คือ เทคนิคการ หาที่ฝึกงานให้โดนใจนักศึกษาฝึกงาน นั่นเอง

การฝึกงานคืออะไร

การฝึกงานก็คือ การนำเอาความรู้ที่ได้เรียนมาในมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา เอาไปทดลองใช้จริงในโลกแห่งการทำงาน ในระยะเวลาสั้นๆ ให้เราได้เปิดประสบการณ์ และเรียนรู้จากการทำงานจริงๆ ผ่านการฝึกงาน ว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่งในบางคณะได้กำหนดเอาไว้ว่านักศึกษาทุกคนจะต้อง "ผ่านการฝึกงาน" ก่อน ถึงจะถือว่าเรียนจบจากคณะนั้นได้

ระยะเวลาที่ฝึกงาน

โดยส่วนมากแล้วการฝึกงาน จะฝึกกันเป็นเวลา 1-2 เดือนเป็นอย่างต่ำ หรือตามกฏเกณฑ์ของแต่ละสถานศึกษากำหนดเอาไว้ โดยการฝึกงานนี้จะฝึกกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษา โดยที่นักศึกษาก็จะต้องลงทะเบียนก่อน และเมื่อถึงเวลาก็ไปฝึกงานที่บริษัทที่ตัวเองลงทะเบียนเอาไว้ เมื่อผ่านการฝึกงานแล้วถึงจะถือว่าจบหลักสูตร

เทคนิคการหาที่ฝึกงาน

การหาที่ฝึกงานนั้นจริงๆแล้วมีหลายช่องทางมากมาย ซึ่งไม่มีช่องทางไหนที่ดีกว่าช่องทางไหนเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าบางบริษัทก็อาจจะรับผ่านช่องทางเดียวเท่านั้น ตรงนี้ถ้าสนใจบริษัทไหนเป็นพิเศษก็จะต้องศึกษาในบริษัทนั้นๆกันเอาเองครับ แต่โดยส่วนมากแล้วก็จะมีช่องทางดังต่อไปนี้ เรียงตามคุณภาพและปริมาณของตำแหน่งงานนะครับ

1. ที่ฝีกงาน มีเยอะที่สุดที่คณะ/ภาควิชาของตัวเอง

ที่ไหนเอ่ย ที่บริษัทต่างๆสามารถสื่อสาร ประชาสัมพันธ์การรับนักศึกษาฝึกงานได้ตรงเป้าหมายมากที่สุด? ไม่ใช่ในเฟซบุ๊คแต่อย่างใด แต่มันคือคณะ หรือภาควิชานั่นเอง โดยบริษัทต่างๆที่ต้องการรับเด็กฝึกงาน ก็จะติดต่อเข้าไปที่ทางคณะและภาควิชานั้นๆ โดยที่มีตำแหน่งงานที่ถือว่ากรองแล้วสำหรับภาควิชานั้นๆโดยเฉพาะ (เช่นภาควิชาคหกรรม ก็จะมีตำแหน่งเกี่ยวกับอาหาร เช่นเชฟ คือบาริสต้า)

ให้นักศึกษาหมั่นตรวจสอบข้อมูลกับภาควิชาของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการดูประกาศที่แปะเอาไว้ เฟซบุ๊คหรือเว็บของคณะ/ภาควิชาของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ยังไงคุณจะต้องเจอที่ฝึกงานที่ตรงกับที่เรียนมา และสนใจอย่างแน่นอน

2. สมัครฝึกงานให้ตรงสายที่เรียนมา

มีนักศึกษาบางคนถามว่า ผมฝึกงานของคณะ หรือภาควิชาอื่นได้ไหม? ทีมงานเบสต์จ๊อบเองก็สงสัยและอยากรู้คำตอบเช่นกัน จึงได้สอบถามไปที่ HR บริษัทชั้นนำหลายแห่งเพื่อสอบถาม และได้คำตอบว่า ตำแหน่งฝึกงานที่ประกาศรับสมัครนั้น ทางบริษัทเองก็ไม่ได้กีดกันการสมัครฝึกงานข้ามสายหรอกนะ แต่บริษัทต้องการคนที่คุณสมบัติตรงก่อน เช่นเรียนในสายที่เขากำหนดเอาไว้ แต่ถ้ามีคนสมัครไม่พอ ก็ค่อยมาเปิดรับคนที่สมัครข้ามสายอีกที แต่ถามว่ามีความสุขไหม ตอบได้ทันทีเลยว่า ไม่! ดังนั้น อย่าฝึกงานข้ามสายเลยจะดีกว่า แต่ถ้าคุณยังยืนยันอย่างนั้นอยู่ ก็ขอให้โชคดีครับ

3. รุ่นพี่คณะ/ภาควิชา คือแหล่งข้อมูลชั้นยอด

การฝึกงานมีมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณเป็นรุ่นแรกซะหน่อย จริงไหม? รุ่นพี่นี่แหล่ะ คือผู้ที่ผ่านการฝึกงานมาแล้ว และสามารถให้คำแนะนำที่ดีให้กับรุ่นน้องได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำให้คุยกับรุ่นพี่ และสอบถามถึงประสบการณ์การหาที่ฝึกงาน การสมัครฝึกงาน และการไปฝึกงานจริงดู ว่ารุ่นพี่ผ่านอะไรมาบ้าง คุณจะได้คำตอบที่ดีมาก จนบางทีกระทู้ pantip ที่ว่าตอบดีๆแล้ว ยังชิดซ้ายตกคูไปเลยเสียด้วยซ้ำ

4. ข้อมูลลับ ณ เว็บไซท์บริษัท

คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้วบางครั้ง เว็บไซท์ของบริษัทเองก็เป็นแหล่งที่มีข้อมูลการรับนึกศึกษาฝึกงาน ที่อัพเดทเร็วที่สุดในอินเตอร์เน็ตก็ว่าได้ บางครั้งเมื่อหัวหน้าอนุมัติปุ๊บ เว็บมาสเตอร์อัพข้อมูลปั๊บ ในเวลาห่างกันไม่เกิน 10 นาทีก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆครับ ในขณะที่การส่งข้อมูลฝึกงานเข้าไปที่คณะ/ภาควิชา บางครั้งก็จะต้องติดขั้นตอนที่แสนจะล่าช้า และไม่ทันใจ ถึงแม้ว่าการประกาศรับสมัครฝึกงานจะถูกเผยแพร่จริงๆ ก็อาจจะช้ากว่าที่เว็บบริษัทอัพไปเป็นเดือนก็มีครับ

แต่ว่าการหาข้อมูลฝึกงานกับเว็บไซท์บริษัทนี้ นักศึกษาฝึกงานเองก็จะต้องมีเอาไว้ในใจก่อนด้วยนะ ว่าสนใจบริษัทอะไรบ้าง เอาแค่ 3-4 บริษัทก็พอแล้ว (มากกว่านี้ คุณตามดูไม่ไหวหรอก) และใช้วิธีเม็มเอาไว้ แล้วเข้าไปดูทุกวัน เท่านี้เอง คุณก็จะได้ข้อมูลที่อัพเดทก่อนคนอื่นนานพอสมควรครับ

5. กิจกรรม Job Fair ก็มีตำแหน่งฝึกงานหลุดมาบ้างเช่นกัน

แม้ว่ากิจกรรม Job Fair ตามมหาวิทยาลัยจะเน้นไปที่การ รับนักศึกษาจบใหม่ เข้าไปเป็นพนักงานเต็มเวลาก็ตาม บางบริษัทเองก็มีประกาศรับสมัครนักศึกษาฝึกงานเช่นกัน ประมาณว่าไหนๆก็เดินทางไปเปิดงาน Job Fair แล้ว ก็รับไปด้วยเลยแล้วกัน ทำนองนั้น

แต่อยากจะให้ดูเวลา และปฏิทินดีๆก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ เพราะว่าส่วนมากแล้วงาน Job Fair มักจะจัดในช่วงเดือนท้ายๆก่อนการปิดภาคเรียน หรือช่วงสอบไฟนอลน่ะแหล่ะ บางครั้งอาจจัดก่อนหรือหลัง ไม่เกินเดือน ในบางมหาวิทยาลัยอาจจะสายเกินไปจนทำให้ส่งเรื่องฝึกงานไม่ทันเอา อย่าลืมข้อนี้นะครับ

แต่ถ้าเลือกเส้นทางนี้แล้วล่ะก็ อย่าลืมเตรียมเรซูเม่ ทรานสคริปต์ และรูปถ่ายติดบัตรของตัวเอง สัก 2-3 รูปไปให้เรียบร้อยด้วยนะครับ เมื่อเอกสารครบ บางทีแค่ยื่นเอกสารในงาน เขาดูๆนาทีเดียว ก็รับเลยทันที ได้เปรียบมากกว่าคนอื่นๆเยอะเลยล่ะนะ

6. เว็บไซท์รับสมัครงานเอง ก็มีข้อมูลฝึกงานให้เลือกเช่นกัน

เว็บไซท์รับสมัครงาน โดยเฉพาะเว็บไซท์เบสต์จ๊อบ ที่ได้จัดหมวดหมู่ของบริษัทที่รับตำแหน่งฝึกงาน ออกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีข้อมูลละเอียด ครบถ้วน ให้สามารถสมัครได้อย่างง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์กันด้วยครับ คุณสามารถดูตำแหน่งฝึกงานที่ว่างอยู่ได้ที่:

https://bestjob.in.th/jobs/type/intern

หรือคุณสามารถเลือกที่จะอัพข้อมูลฝึกงานของตัวเอง เพื่อให้บริษัทขนาดกลางอีกจำนวนมาก ติดต่อคุณเพื่อรับคุณเข้าไปฝึกงานได้อีกหนึ่งช่องทางเช่นกัน เข้าไปกรอกประวัติของตัวเอง (ฟรี) ได้ที่ลิงก์นี้ได้เลยครับ

https://bestjob.in.th/register

คำแนะนำ: ให้อัพรูปติดบัตรของตัวเองด้วย เพื่อประสิทธิภาพที่สูงที่สุดครับ และก็อย่าอัพรูปเล่นๆ รูปไปเที่ยว หรือรูปไปเที่ยวนะ บริษัทเขาไม่ชอบ

7. สมัครให้หมดทุกช่องทาง กันเหนียว

จากทุกช่องทางที่ผ่านมา มันไม่มีช่องทางไหนที่ดีกว่าช่องทางไหนมากเป็นพิเศษหรอกครับ เพราะว่าบางคนอาจจะได้ที่ฝึกงานจากช่องทางคณะ บางคนอาจจะได้จาก Job Fair บางคนอาจจะได้จากเว็บไซท์รับสมัครงาน แต่ละคนก็จะได้จากคนละช่องทางไม่เหมือนใคร

แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณสมัครมันหมดเลยทุกช่องทาง? นั่นแปลว่าคุณอาจจะได้รับการตอบรับเข้าฝึกงานมากกว่า 1 แห่งด้วยซ้ำ และเมื่อเวลานั้นมาถึง คุณก็สามารถเลือกได้ว่าจะฝึกงานที่ไหน เอ้อ แต่อย่าลืมนะว่า ที่ฝึกงานที่เราไม่เอา ก็รีบตอบปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพด้วยนะ ก่อนเส้นตายได้ยิ่งดี อย่าปล่อยให้เขารอ แล้วไม่โผล่ไปฝึกงานล่ะ ถ้าเขาโกรธแล้วติดต่อเข้าไปที่คณะ นั่นล่ะงานเข้าแน่นอน!

8. เขียนเรซูเม่ให้เรียบร้อย ที่ไหนก็อยากรับ

เขียนเรซูเม่ฝึกงาน ให้เรียบร้อย และทำเป็นไฟล์ PDF ส่งไปให้พนักงาน HR ให้ถูกคนด้วยนะ บริษัทไหนๆก็อยากรับกันทั้งนั้นครับ ถ้าเขียนเรซูเม่ไม่เป็น ไม่เป็นไร เว็บเบสต์จ๊อบของเรามีเครื่องมือช่วยสร้างเรซูเม่ ที่ฟรี และดีมากๆเลย อยากให้ใช้กันครับ ลองใช้งานกันได้ที่นี่เลย