วันนี้ ทีมงานเบสต์จ๊อบ ของเราจะมาบอกเคล็ดลับวิธีการสำหรับนักศึกษาผู้ที่เพิ่งจบใหม่ ไร้ซึ่งประสบการณ์การทำงานใน การเขียนประวัติส่วนตัว หรือ resume ของตัวเองกัน ว่าต้องเขียนอย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถูกใจทุกฝ่าย
เรซูเม่คืออะไร?
เรซูเม่ (Resume) คือการเขียนสรุปประวัติส่วนบุคคล โดยกล่าวถึงประวัติการศึกษา และประวัติการทำงาน ซึ่งแสดงถึงใจความสำคัญของความสำเร็จ และความสามารถพิเศษต่างๆ ยาวเพียง 1-2 หน้าเท่านั้น เรซูเม่นิยมแนบเป็นเอกสารในการสมัครงาน เรซูเม่ที่น่าสนใจช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานมากขึ้น
CV คืออะไร?
ในบางประเทศอย่างเช่นโซนทวีปยุโรป จะเรียกเรซูเม่ว่า Curriculum Vitae (CV) และนิยมให้มีรูปแบบที่สั้นกระชับอยู่ภายใน 1 หน้าเท่านั้น ตรงกันข้ามกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชอบให้เรซูเม่มีรายละเอียดมากกว่า และยาวกว่า ส่วนในประเทศไทยไม่มีรูปแบบบังคับ แต่ก็ควรจะให้อยู่ภายใน 1-2 หน้าเท่านั้น
แต่ทีมงานเบสต์จ๊อบเองก็แนะนำว่า ถ้าคุณสมัครงานบริษัทข้ามชาติจากทางฝั่งยุโรป ก็ให้ใช้รูปแบบของยุโรป และถ้าคุณสมัครงานบริษัทข้ามชาติ จากอเมริกา ก็ให้ใช้รูปแบบของอเมริกัน นอกเหนือจากนั้นถือเป็นฟรีสไตล์ที่คุณจะใช้รูปแบบไหนก็ได้
การเขียนเรซูเม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่
การเขียนเรซูเม่สำหรับผู้ที่เริ่มต้นหางานครั้งแรก ต้องเกริ่นก่อนว่ามีวิธีการเขียนได้หลายวิธีมาก และก็ไม่มีหลักการตายตัวว่าเขียนแบบไหนจะดีที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราถนัดแบบไหนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเรียงลำดับแบบปัจจุบันไปหาอดีต หรือว่า เรียงตามทามไลน์ชีวิตของเราก็ได้ หรือแม้กระทั่งการเขียนเพื่อเน้นไปในทางที่เรามีข้อดีด้านใดด้านหนึ่งก็เป็นอีกตัวอย่างที่ทำได้ อย่าเพิ่งปวดหัวกันไปนะครับว่าจะเลือกแบบไหน วันนี้เรามาดูตัวอย่างตัวที่คนที่เพิ่งจบใหม่นิยมใช้กันมากที่สุด และก็ได้ผลลัพธ์ดีกันดีกว่านะ
เรซูเม่ที่ดี ควรจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ นะครับ ถ้าไม่เก่งภาษา คุณสามารถใช้เครื่องมือสร้างเรซูเม่ของเบสต์จ๊อบได้ฟรี
ถ้าจะให้เลือกแบบนึง ก็ขอให้เขียนในการเรียงแบบทามไลน์ชีวิตของเราดีกว่า โดยที่เราจะเลือกว่าตอนนี้เราเป็นอย่างไร และไล่ลงไปถึงว่าในที่ผ่านมาเราทำอะไรมาบ้างตามโครงสร้างเลยคือการเขียนไล่แบบนี้ง่ายๆ ครับ นี่เป็นตัวอย่างรูปแบบเรซูเม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่ HR บริษัทต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีที่สุดแล้ว เพราะอ่านง่าย และสวยงาม
1. ใช้รูปที่สุภาพเรียบร้อย
ติดรูปของตัวเองลงไปในเรซูเม่ด้วย ในด้านบน ไม่ว่าจะเป็นซ้ายหรือขวา ก็ได้หมด ขอเพียงรูปต้องเป็นรูปที่สุภาพเรียบร้อย ถ้าเป็นรูปติดบัตรได้จะดีที่สุดแล้วครับ และขอให้หลีกเลี่ยงรูปเซลฟี่ในห้องตัวเอง ที่แบ๊คกราวนด์ติดกองเสื้อผ้ายังไม่ได้ซักกองโต หรือขยะในห้องนอนมาด้วย เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพอย่างยิ่ง เมื่อรูปไม่สุภาพ คนก็ไม่สุภาพเป็นเงาตามตัวครับ เบสต์จ๊อบได้เขียนรายละเอียดเรื่อง การใส่รูปลงในเรซูเม่อย่างละเอียดแล้ว ตามไปอ่านกันได้ครับ
2. ใส่ข้อมูลส่วนบุคคลให้ครบ
โดยข้อมูลส่วนนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้อ่านนั้นรู้ fact ของเราแต่ไม่ต้องเขียนละเอียดมาก เอาเป็นว่าใส่สิ่งที่จำเป็นที่คนอื่นเค้าใส่กันก็พอครับ แต่อย่ามองข้ามเรื่องชื่อตัวเอง เบอร์ติดต่อ อีเมล์ติดต่อ เพศ อายุ (บางคนใส่ปีเกิดก็ได้นะ) และถ้าเป็นผู้ชาย ถ้าหากใส่ สถานภาพทางการทหาร เอาไว้ด้วยก็จะได้เปรียบมากกว่าคนอื่นครับ
3. จุดประสงค์ในการทำงาน (Career Objective)
จุดประสงค์ในการทำงานนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญกับนักศึกษาจบใหม่เป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าตัวเราจะไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนเลย อาจจะมีเพียงฝึกงานซึ่งส่วนมากก็ฝึกกันที่เดียว ในระยะเวลาสั้นๆแค่ 1-2 เดือน ดังนั้นการใส่จุดมุ่งหมายในการทำงานเอาไว้ในส่วนบนสุดของเรซูเม่ จะเป็นการบอกผู้ว่าจ้างว่า ตัวเราต้องการอะไรในชีวิตการทำงาน ซึ่งถ้าจุดมุ่งหมายนี้ตรงกันกับที่บริษัทกำลังหาอยู่ล่ะก็ คุณจะถูกสนใจมากทีเดียวครับ เบสต์จ๊อบเองก็ได้เขียนบทความเรื่องจุดมุ่งหมายในการทำงาน รวมถึงตัวอย่างต่างๆเอาไว้เยอะมาก อยู่ที่นี่ครับ ตามไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ ส่วนผู้ที่ทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้ว 3-4 ปีขึ้นไป ตัวจุดมุ่งหมายในการทำงานนี้แทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเท่าไหร่แล้วครับ ไม่ต้องใส่ก็ได้
4. ประสบการณ์ฝึกงาน
ให้ใส่รายละเอียดในการฝึกงานของตัวเองลงไปอย่างละเอียด ชื่อตำแหน่ง ชื่อบริษัท ช่วงเวลาที่ฝึกงาน รวมถึงอธิบายว่าเราได้ทำอะไรในตอนฝึกงานไป เอาสักอย่างน้อย 2-3 บรรทัดได้กำลังสวยเลยครับ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร ลองอ่านบทความแนะนำ การเขียนประสบการณ์ฝึกงานลงเรซูเม่ ของเราดูสิครับ
5. รายละเอียดการศึกษา
ข้อมูลนี้จำเป็นมากอันดับต้นๆ เนื่องจากคนที่ยังไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานนั้น ก็มีแต่การศึกษานี่แหละที่จะเป็นตัวบอกได้ว่าเราน่าจะถนัดอะไร ให้ใส่เอก คณะ ชื่อมหาวิทยาลัย และวิชาที่เกี่ยวข้องกับตำแนห่งงานที่สมัครลงไปครับ ส่วน GPA ถ้าไม่ได้ต่ำต้อยจนน่าเกลียดล่ะก็ ใส่มันลงไปจะได้ผลดีกว่าปล่อยว่างไว้ครับ
6. ใบประกาศ หรือคอร์สเรียนต่างๆที่ได้ผ่านมา
ถ้าหากว่าคุณสอบผ่านได้ใบประกาศที่มีประโยชน์ต่อตำแหน่งงานนั้นๆ ก็ให้ใส่มันลงไปด้วยครับ เพราะมันจะทำให้คุณได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งอย่างมากเลย การเรียนผ่านอะไรมาบ้างที่ไม่ใช่วิชาจากในโรงเรียน (training course) อย่างถ้าเราเคยไปเรียนออนไลน์มา ก็เอามาใส่ได้นะ ส่วนใหญ่เค้าจะมี certificate ให้ด้วยเราก็สามารถใส่ได้ครับ
7. ทักษะ ข้อมูลกิจกรรม หรืองานที่เคยทำ
สิ่งที่เป็นตัวแยก (differentiate) เราออกจากคู่แข่งเลย เคยทำกิจกรรมอะไร หรือเคยเป็นตัวแทนแข่งอะไรมาใส่ลงไป แต่เอาเท่าที่มันจะจำเป็นสำหรับงานที่เราจะสมัครด้วยนะครับ ซึ่งจริงๆ แล้วเรซูเม่ ควรจะทำเป็นแบบคัดเลือกตามงานที่สมัคร (customize) เพื่อที่จะตรงตามคุณสมบัติของงานนั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ใส่เข้าไป แม้ว่าเราจะไม่ค่อยมีก็ตาม คนส่วนมากใส่แค่ภาษา แต่จริงๆ มันมีมากกว่านั้นนะ เช่น ทักษะดนตรี การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ และอื่นๆ
8. อื่นๆ
นอกเหนือจากที่กล่าวมา บางคนเคยได้รางวัลประกวดร้องเพลง หรือวาดภาพศิลปะ แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับงานที่สมัครก็ไม่จำเป็น มันจะทำให้รกเปล่าๆ อย่าใส่มันลงไปเลยจะดีกว่าครับ
รวมถึงกิจกรรมอย่างอื่นที่มีโอกาสจะกลายมาเป็นอาชีพหลัก หรือแหล่งเงินหลักของเราในอนาคต ก็อย่าใส่มันลงไปเลยครับ บางคนเป็นยูทูบเบอร์ หรือรับงานฟรีแลนซ์ เพราะว่าฝ่ายบุคคลเห็นตรงนี้เข้า เขาจะกลัวว่าสักวันเราจะออกจากงานเพื่อมาเป็นยูทูบเบอร์เต็มตัว แล้วพาลทำให้เขาต้องลำบากไปประกาศหาคนใหม่มาแทนคุณอีกนั่นเอง
ขั้นตอนการเขียนเรซูเม่สำหรับนักศึกษาจบใหม่
1. ร่างข้อมูลคร่าวๆขึ้นมาก่อน แล้วปล่อยไว้ 1-2 วัน
เขียนร่างเรซูเม่ขึ้นมาก่อน เมื่อเสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้ 1-2 วัน ถามว่าทำไมต้องปล่อยไว้? เพราะว่าถ้าเราเร่งรีบเขียนทีเดียวให้จบไปเลย มันมักจะได้ผลงานที่ออกมาไม่ดีนัก สู้ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ให้มีเรื่องอื่นๆผ่านสมองไปสักหน่อย แล้วค่อยกลับมาดูอีกครั้งเพื่อแก้ไข จะทำให้งานเขียนของคุณดีขึ้นอย่างชัดเจน เทคนิคนี้แม้แต่นักเขียนระดับโลกอย่าง JK Rowling ก็ใช้อยู่เป็นประจำ
2. อัพเดทร่างของตัวเองหนึ่งรอบ แล้วส่งให้ฝ่ายสนับสนุนนักศึกษาช่วยดู
เมื่อสมองได้รีเฟรช มีข้อมูลอื่นๆผ่านหัวไปแล้ว 1-2 วัน ค่อยกลับมาแก้เรซูเม่ของตัวเองอีกครั้ง ในขั้นตอนนี้แหล่ะ คุณจะเริ่มเห็นว่าเรซูเม่ที่ตัวเองร่างเอาไว้ครั้งรก มีจุดที่ต้องแก้ไข ปรับปรุงอยู่หลายจุดเลย (เทคนิคข้อแรกมันเทพจริงๆนะ) ก็ทำการแก้ไขด้วยตัวเองก่อนรอบนึง เมื่อเสร็จแล้วก็ลองส่งให้ฝ่ายสนับสนุนนักศึกษาช่วยดูอีกรอบ
3. อัพเดทครั้งสุดท้ายเป็น Final Draft Version
เมื่อได้รับฟีดแบ๊คจากฝ่ายสนับสนุนนักศึกษาแล้วก็ให้อัพเดทเรซูเม่ของตัวเองอีกครั้งตามคำแนะนำนั้นๆ จนตรงนี้เรซูเม่ของคุณจะมีความสมบูรณ์ประมาณ 80% แล้ว เรียกได้ว่าอยู่ในขั้น Final Draft Version ได้เต็มปากเต็มคำ แต่ยังส่งไม่ได้นะ รออีกแป๊บ
4. ขอให้เพื่อนอย่างน้อย 2 คน ช่วยเช็คเรื่องแกรมม่าร์ และคำสะกดผิด
ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษช่วยดูเรซูเม่ของเรา โดยที่เน้นไปที่การหาแกรมม่าร์ที่เขียนผิด และตัวสะกดผิด เมื่อแก้เรียบร้อยหมดแล้วคุณก็จะได้เรซูเม่ที่สมบูรณ์แบบ 100% เป็น Final Version ที่พร้อมใช้งานได้แล้ว
5. ติดรูปลงในเรซูเม่ และพร้อมส่งได้
ติดรูปตัวเองลงในเรซูเม่ด้วยนะ เรซูเม่ของคุณก็พร้อมที่จะส่งให้กับบริษัทแล้ว ถ้าเลือกที่จะส่งไฟล์ดิจิทัลก็สร้างเป็นไฟล์ PDF ขนาดพอเหมาะพอดีมือ (ไม่เกิน 2MB) หรือถ้าจะส่งเป็นกระดาษก็ปรินท์ด้วยเลเซอร์ เรซูเม่ของคุณจะได้คมชัดสวยงาม
แค่นี้ก็เรียบร้อย! เห็นไหมครับว่า การหางานไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าคุณมีความรู้และประสบการณ์ด้านนี้ ทีมงานเบสต์จ๊อบขอร่วมแสดงความยินดีกับคุณด้วยที่คุณเพิ่งได้เรียนรู้เทคนิคการเขียนเรซูเม่ไปอย่างหมดเปลือกเลย แต่ถ้าคุณไม่อยากเขียนเรซูเม่ด้วยตัวเองจริงๆ ก็ลองใช้เครื่องมือสร้างเซูเม่ของเบสต์จ๊อบดูสิครับ ฟรี และดีด้วยนะ
สร้างเรซูเม่ฟรี
แนะนำ:เทคนิคหางานสำหรับนักศึกษาจบใหม่ เมื่อเขียนเรซูเม่เสร็จแล้ว อย่าลืมไปอ่านเทคนิคการหางานของนักศึกษาจบใหม่กันต่อเลยนะครับ
เอาล่ะ เป็นยังไงบ้าง หวังว่าคงจะทำให้มีไอเดียกันเพิ่มมากขึ้นนะครับ คราวหน้าเดี๋ยวจะมาสอนการเขียนในแบบอื่นๆ กันนะครับ