มีคนจำนวนมากที่เคยทำงานที่บ้าน หรือเคยช่วยธุรกิจของที่บ้าน ในเวลาที่ตัวเองว่างสักระยะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนใจ อยากกลับเข้ามาทำงานบริษัทในระบบอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ เบสต์จ๊อบ จะมาตีแผ่ถึงเบื้องหลังของความคิดนี้ และแนะนำทริคในการใส่ประวัติการทำงานลงใน เรซูเม่ของตัวเอง กรณีที่เคยทำงานกับที่บ้านมาก่อน เชิญชมได้เลยครับ
มีคำถามที่สามารถโต้วาทีกันได้เลยว่า HR บริษัทมีความคิดเห็นอย่างไรกับผู้สมัครงานที่มีธุรกิจส่วนตัว หรือที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัวกัน ตรงนี้ไม่ต้องเดาเลยครับว่าคำตอบจะออกมาในทางไหน HR ส่วนมากไม่ชอบที่ผู้สมัครงานมีธุรกิจส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง หรือของที่บ้าน
HR ไม่ชอบผู้สมัครงานที่มีธุรกิจส่วนตัว
HR ไม่ชอบผู้สมัครงานที่มีธุรกิจส่วนตัว หรือธุรกิจของที่บ้าน ทำไมล่ะ? มีอยู่มากมายหลายเหตุผลที่ HR กล่าวถึง แต่ก็สามารถรวบรวมออกมาได้เป็นข้อหลักๆได้ตามนี้ครับ
1. พนักงานมีแนวโน้มที่จะ "กลับไปทำงานที่บ้าน" สูงกว่าพนักงานกลุ่มอื่น
เมื่อก่อนครับ เมื่อ HR สัมภาษณ์งานแล้วเจอผู้สมัครที่เคยทำงานกับที่บ้านมาก่อนแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก และรับเข้าทำงานตามความสามารถที่มี แต่ปรากฏว่า เมื่อทำงานไปๆ เขากลับพบสถิติตัวหนึ่งที่บอกเอาไว้ชัดเจนเลยว่า กลุ่มพนักงานที่มีธุรกิจของที่บ้าน มักจะมีความอดทนต่ำกว่าพนักงานกลุ่มอื่นๆอย่างชัดเจน ไม่ค่อยจริงจังในการทำงาน และไม่มีการสู้เพื่อบริษัทอย่างถวายหัวให้เห็นเลย เมื่อเจออะไรที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจแล้วล่ะก็ เขาก็จะไม่ค่อยทนเท่าไหร่ และคิดว่าตัวเองมีชอยส์ สามารถเลือกได้ และก็เลือกที่จะลาออกเพื่อกลับไปทำงานของที่บ้านตามเดิม
อ่านมาจนถึงตรงนี้ ถ้าหากคุณสะอึกแล้วล่ะก็ ถือว่าแทงใจดำก็แล้วกันนะครับ :p
2. พนักงานกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะ "ยังช่วยงานของที่บ้านอยู่" ในเวลาที่ทำงานบริษัท
ก็ชัดเจนครับว่าเมื่อเข้ามาทำงานบริษัทในระบบแล้ว แต่ถ้าธุรกิจของที่บ้านมีปัญหา หรือต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ตาม พนักงานกลุ่มนี้แทบจะทุกคนก็ช่วยงานกันเต็มที่เลย บางครั้งช่วยหนักถึงขนาดลางานกลับไปช่วยที่บ้านอยู่พักใหญ่ๆเลย บางคนคิดว่าเอ้ยมันเป็นสิทธิ์ของเราในการที่จะใช้วันลาอย่างไรก็ได้ อันนั้นถูกครับ ถูกต้องตามกฎตามเกณฑ์ แต่ไม่ถูกใจของ HR แน่นอน
3. ถ้าธุรกิจส่วนตัวปิดกิจการไปแล้ว คุณจะถูกสงสัยหนักมากว่าทำไม
ถ้าธุรกิจส่วนตัวที่คุณทำ หรือธุรกิจของที่บ้านได้ปิดกิจการไปแล้ว HR จะวางเครื่องหมายคำถามสีแดงๆตัวใหญ่มากไว้บนหัวของคุณ และจะเริ่มคิดไปแล้วว่าคุณจะต้องไม่เก่ง และจะเริ่มถามจี้คุณในเรื่องนี้ครับ ซึ่งถ้าบริษัทเจ๊งเพราะปัจจัยภายนอก อย่างเช่นรัฐไม่ให้การสนับสนุน หรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น จะเป็นคำตอบที่ดีกว่าการเจ๊งเพราะปัจจัยภายใน อย่างเช่นบริหารไม่ดี การตลาดไม่ดี ฯลฯ
เทคนิคการเขียนเรซูเม่ เมื่อเคยทำงานกับที่บ้าน
การทำธุรกิจของที่บ้าน ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียในสายตา HR หรอกนะ มันก็มีข้อดีอยู่เยอะเหมือนกันครับ เพียงแต่ว่าเราจะต้องจับจุดให้ได้เท่านั้นเอง
1. เขียนลงไปตามจริง อย่าโกหก
อย่างแรกเลยก็คือ เราจะต้องไม่โกหก และเขียนความจริงลงไปในเรซูเม่ว่าเราเคยทำงานกับที่บ้าน ซึ่งมันจะดีกว่าไม่เขียนลงไป และทำให้ HR มองว่าคุณมีช่วงเวลาที่ว่างๆอยู่ครับ
2. ใช้ศิลปะในการเขียน
คุณต้องใช้ศิลปะในการเขียน เช่นถ้าคุณลาออกไปเพื่อเตรียมตัวเรียนต่อโท คุณก็จะมีช่วงว่างในการเตรียมตัวสอบ TOEFL / GMAT / GRE / หรือข้อสอบชุดอื่นๆที่จะต้องใช้ในการสมัครสอบ และในเวลานั้นธุรกิจของที่บ้านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น อาจจะพนักงานลาออกไป แล้วพนักงานใหม่ยังทำงานไม่เป็น ในจังหวะนั้นคุณก็เข้าไปช่วยงานพอดี อะไรแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำครับ
นอกจากนี้เหตุผลที่บอกว่าคุณออกไปเรียนต่อโท ยังเป็นเหตุผลสุดคลาสสิกเพื่อไม่ให้ถามต่อว่าทำไมถึงลาออกจากงานที่เก่าอีกด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ช่วงที่คุณลาออกจากที่เก่าเพื่อกลับไปช่วยงานของที่บ้านที่กำลังมีปัญหา แต่ว่าตอนนี้คุณได้แก้ปัญหานั้นหมดแล้ว และวางระบบการทำงานเอาไว้ให้พนักงานทำต่อ และทำได้อย่างดีจนไม่มีปัญหาแล้ว แล้วคุณก็เลยกลับมาทำงานที่รักต่อ เจอแบบนี้เข้าไป HR ที่ไหนก็รักครับ
3. ยัดจุดแข็งลงไปในเรซูเม่ให้โดดเด่นกว่าของคนอื่น
เมื่อคุณเคยทำธุรกิจของที่บ้านมาแล้วล่ะก็ ก็จะมีประสบการณ์ในเรื่องหลากหลายมากกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน (ใช่ไหม? ใช่ไหม!) คุณก็แค่เขียนมันทั้งหมดลงไปในเรซูเม่ของคุณเลยครับ มันจะทำให้คุณดูเป็นคนโดดเด่นที่มีประสบการณ์โชกโชนมากกว่าคนที่ทำงานในระบบมาอีกครับ ยังไงลองอ่านบทความของพวกเราเรื่อง เทคนิคการเขียนเรซูเม่ให้โดดเด่นใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนเรซูเม่ และ วิธีการใส่รูปของตัวเองลงในเรซูเม่ ด้วยนะครับ มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ
เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว การทำงานกับที่บ้านก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปล่ะ เบสต์จ๊อบก็ขอเชียร์ให้คุณได้งานที่สนใจไวๆนะครับ
